วิธีตั้งเป้าหมาย 101

ทำไมเราถึงล้มเลิกต่อเป้าหมายอย่างรวดเร็ว ?

เรามักจะตั้งเป้าหมายในตอนต้นปี อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นและดันมีสิ่งที่อยากทำอยู่มากมาย เราจึงเขียนมันลงไปในสมุดโน๊ตที่ซื้อมาใหม่ หรือเขียนลงไปในกระดานขนาดใหญ่ที่แปะอยู่ในห้องนอนเพื่อจะได้เห็นมันทุกวันและผลักดันให้เราทำมันให้สำเร็จ

แต่เมื่อเวลาผ่านไปแค่ 7 วัน เราก็ไม่ได้กลับไปดูเป้าหมายของเราอีกแล้ว “เราล้มเหลวอีกแล้วหรอ” “เราก็คงได้แค่นี้แระ” “เรามันเหยาะแหยะ ” เกิดคำพูดที่ไม่ดีต่อตัวเอง ทำให้เรามีความเคารพตัวเองต่ำลงและกลายเป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เลิกโทษตัวเองก่อนครับ ! บางทีเราอาจจะแค่ตั้งเป้าหมายผิดไป! แค่นั้นเอง เรามาหา วิธีตั้งเป้าหมาย ให้ถูกต้องก่อนครับ

ตัวอย่างเป้าหมายที่ผิดพลาดบ่อยๆ

  • เป้าหมายคลุมเครือและวัดผลไม่ได้
    เช่น ฉันจะตั้งใจอ่านหนังสือให้มากขึ้น ไม่มีจำนวน ไม่มีเวลา ไม่มีตัววัด
  • เป้าหมายขัดแย้งกันเอง
    ในกรณีที่มีเป้าหมายหลายๆ อย่าง เช่น ใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้นแต่เป้าหมายอีกข้อคุณบอกว่า อยากทำงานให้มากขึ้น
  • เป้าหมายยากเกินไป
    เช่น ฉันไปวิ่งมาราธอนในอีก 1 เดือน เย้! ถ้าคุณยังไม่มีแม้แต่รองเท้าวิ่งและจะไปซื้อหลังจากตั้งเป้าหมายเมื่อกี้ เรื่องนี้อาจจะยากเกินไป

แล้วจะกำหนดเป้าหมายอย่างไรดีล่ะ ?

กำหนดเป้าหมายโดยเน้นสิ่งที่ควบคุมได้

1. กำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับความจริงและเฉพาะเจาะจง

อีกตัวอย่างเช่น สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนัก เราอาจจะตั้งเป้าหมายแบบนี้ “ลดน้ำหนัก 5 KG ใน 3 เดือน” การตั้งเป้าหมายแบบนี้เฉพาะเจาะจงแต่ผมไม่คิดว่ามันสอดคล้องกับความจริง

โดยพื้นฐานแล้วร่างกายของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันในทุกๆ แง่มุม ความเป็นจริงคือเราไม่สามารถบังคับร่างกายของเราให้ลดน้ำหนักลงได้แม้ว่าเราจะทำตามคำแนะนำของเทรนเนอร์ส่วนตัว ผู้เชี่ยวชาญหรือเพื่อนสนิทผู้ประสบผลสำเร็จในการลดน้ำหนักมาแล้ว

พุ่งเป้าหมายไปในสิ่งที่เราควบคุมได้ง่ายกว่า เช่น
“เราจะไม่ดื่มน้ำอัดลม”
“เราจะไม่ทานอาหารมื้อดึก”
“เราจะออกกำลังกายตอนเช้า วันจันทร์ พุธ ศุกร์ วันละ 30 นาที”

ซึ่งการตั้งเป้าหมายแบบนี้มันก็เป็นเหมือนการซอยย่อยเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อยซึ่งจะพูดถึงในข้อถัดไปนั่นเอง

2. แบ่งเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย

เมื่อเราวางเป้าหมายใหญ่ไว้แล้ว ให้ถอยออกมาซัก 500 เมตรเลยนะฮ่าๆ แค่พอมองเห็นว่าเรามีจุดหมายอยู่ตรงนั้น ระหว่างทางที่เราจะไปถึงเป้าหมายนั้นมีอะไรต้องทำอีกมากมันจึงทำให้เกิดเป้าหมายย่อยๆ ขึ้นมา

แต่สิ่งที่ต้องระวังก็คือเป้าหมายไม่ว่าจะใหญ่หรือย่อย

เป้าหมายควรมีความท้าทายในระดับหนึ่ง

ไม่ยากเกินไปเพื่อไม่ให้เราหมดแรงจูงใจไปก่อน และต้องไม่ง่ายเกินไปเพื่อไม่ให้เราหมดความสนใจจากมัน

ตัวอย่างเช่น “เราจะออกกำลังกายตอนเช้า วันจันทร์ พุธ ศุกร์ วันละ 30 นาที เป็นเวลา 1 เดือน” เราแค่ต้องทำมันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดอะไร จากนั้นเมื่อครบ 1 เดือนเราก็มาประเมินผลงานอีกรอบ ความคืบหน้าเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีพัฒนาการ ต้องปรับเปลี่ยนอย่างไร

หรือเราอาจจะปรับเป้าหมายระหว่างทางก็ได้ เช่น กำลังกายตอนเช้า วันจันทร์ พุธ ศุกร์ วันละ 30 นาที รู้สึกว่ามันชิลเกินไป ควรเพิ่มความเข้มข้นในการออกกำลังเป็น 45 นาที หรือเพิ่มวันอาทิตย์เข้าไปอีกวันก็ได้

บางครั้งเป้าหมายก็ไม่สำคัญ

คำนี้ไม่ใช่แค่คำเท่ๆ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเมื่อเราเริ่มลงมือทำอะไรแล้ว มันจะมีสิ่งที่ได้กลับมาจากการลงมือทำเลยทันที อาจจะเป็นความสุขที่ได้ทำ หรือความสุขจากการบรรลุเป้าหมายย่อยๆ ในแต่ละครั้ง เราจะมองเห็นคุณค่าของตัวเองและความเคารพต่อตัวเองก็จะสูงขึ้นตาม

3. กำหนดกรอบเวลา

เรามักกำหนดกรอบเวลาไปที่เป้าหมายใหญ่เลย เช่น ฉันจะมี six pack ให้ได้ภายใน 3 เดือน แน่นอนมีคนที่ทำได้และมีคนอีกมากที่ทำไม่ได้

ถ้าคุณก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ มันไม่ใช่เพราะตัวคุณที่เหยาะแหยะ ไม่เอาไหน แต่อาจเป็นเพราะกรอบเวลาเป้าหมายไม่สอดคล้องกับความจริง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณต้องทำงานซะจนไม่มีเวลาเหลือ พักผ่อนน้อย ระยะเวลา 3 เดือนคงจะไม่สอดคล้องกับความจริงเอาซะเลย

ผมแนะนำให้กำหนดกรอบเวลาเป้าหมายขนาดกลางก่อน และลงมือทำ แล้วคุณจะได้คำตอบเองว่า กรอบเวลาเป้าหมายใหญ่ ที่ควรจะเป็นคือเวลาเท่าไหร่

เป้าหมายขนาดกลางอาจจะเป็น

  • ออกกำลังกาย 45 นาที 4 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 1 เดือน แล้วเราค่อยมาประเมินผลกันอีกที
  • หรือปรับพฤติกรรมการทานอาหาร โดยกำหนดให้เฉพาะเจาะจงรวมถึงกรอบเวลาด้วย เช่น ไม่กินอาหารทอดเลย 1 เดือน

จำไว้ว่าเป้าหมายต้องมีความท้าทายพอประมาณและไม่ง่ายจนเกินไป

4. วางแผนล่วงหน้าสำหรับการทำผิดแผน

ใช้ประสบการณ์ของคุณเองโดยให้ถามตัวเองว่า สิ่งใดที่มักทำให้เกิดการผิดแผนไปบ้าง จากนั้นให้เตรียมทางเลือกสำหรับการผิดแผนนั้นไว้ช่วงหน้าเลย

ยกตัวอย่างเช่น เป้าหมายของผมคือการตื่นเช้า 5 AM และมีรายการสำหรับทำ Morning Routine

รายการผิดแผนของผมคือ

  • ตื่นสายจากไม่ได้ยินนาฬิกาปลุก ให้ทำรายการใน Morning Routine ตามเวลานั้นเลย โดยข้ามรายการที่เวลาผ่านไปแล้ว
  • ตื่นสายจากการปราตี้ให้พักไปเลยไม่ต้องทำ
  • ถ้าป่วยให้ยกเลิกการตื่นเช้าเพื่อมาทำ Morning Routine ไปเลย

ถ้ายังล้มเลิกต่อเป้าหมายอยู่ล่ะ ?

ข้อแนะนำคือ กลับมาทบทวนสิ่งที่ทำให้เราล้มเหลวโดย

ทบทวนสิ่งเหล่านี้

  • เขียนปัจจัยทั้งหมดที่มีส่วนทำให้เราล้มเหลว
  • ระบุปัจจัยที่เราควบคุมได้และไม่ได้แยกออกจากกัน
  • เขียนวิธีรับมือกับปัจจัยที่ทำให้เราล้มเหลวและก็พยายามทำมันอีกครั้ง

วิธีตั้งเป้าหมาย ให้ถูกต้องเรื่องที่อาจจะยากแล้วแต่การกำหนดเป้าหมายยากกว่า ถ้าเราไม่รู้ว่าเราชอบอะไรหรือต้องการที่จะทำอะไรกันแน่ การตั้งเป้าหมายแบบชัดเจนและเฉพาะเจาะจงจึงเป็นเรื่องยาก ไม่เป็นไรเลยครับ ! เพราะคุณคือคนส่วนมาก

ยกตัวอย่างเช่น คนที่ชอบร้องเพลงไม่ใช่ทุกคนที่จะปักหมุดไว้ว่า ฉันจะเป็นศิลปินและมีอัลบั้ม

บางครั้งผู้คนเหล่านั้นแค่ทำในสิ่งที่ชอบและทำมันไปเรื่อยๆ “Keep Doing” เป้าหมายของพวกเขาอาจจะเพิ่งเริ่มชัดเจนหลังจากลงมือทำมันไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าพวกเขานั้นโชคดีที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร

“Keep Doing” ครับ คำสั้นๆ แต่มันทรงพลังจริงๆ

ไม่ใช่ทุกคนต้องมีความฝันครับ เราอาจจะแค่ต้องการทำอะไรบางอย่างเล็กๆ ให้ประสบความสำเร็จเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อเรารู้สึกไม่ชอบพอกับชีวิตตัวเองในตอนนี้ การลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตก็เป็นเรื่องที่ท้าท้ายแล้ว เช่น

  • การดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร
  • การตื่นเช้าตอนตี 5
  • การเลิกดื่มน้ำอัดลม

เป้าหมายเล็กๆ เหล่านี้นี่แหละ ถ้าเราทำมันให้สำเร็จได้ มันจะส่งผลกับชีวิตเราได้อย่างมหาศาล เพราะวิธีที่จะไปให้ถึงเป้าหมายเล็กๆ เหล่านั้น มันมีรายละเอียดระหว่างทางให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้สร้างวินัยโดยไม่รู้ตัว และมันทรงคุณค่าสุดๆ

@Sapa Vietnam, Nov 2019